Lancôme La vie est Belle Eau de Parfum
น้ำหอม La Vie Est Belle ตัวนี้ถือเป็นน้ำหอมจากแบรนด์ Lancôme ที่ขายดีสุดๆ เลยล่ะค่ะ ซึ่งยอดขายแค่ปี 2014 เพียงปีเดียวก็ขายได้เกือบๆ 63 ล้านยูโรเลยล่ะ ด้วยกลิ่นหอมหลักที่มาจากดอกแมกโนเลีย ดอกไม้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ให้ความหอมแบบหวานๆ อบอุ่นๆ คล้ายกับแสงอาทิตย์แรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสื่อถึงความรื่นรมย์แห่งการใช้ชีวิตอย่างสดใส เพื่อสะท้อนประกายแห่งชีวิตผ่านทางความสง่างามของดอกไม้
J’adore Christian Dior
ความโดดเด่นของ J’adore จาก Dior แน่นอนว่าคงไม่พ้นความโดดเด่นของแพ็กเกจที่เป็นขวดสีทองสวยหรูที่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ส่วนกลิ่นของตัวน้ำหอมเองก็หรูหราไม่แพ้ขวดเช่นกันค่ะ โดยเป็นกลิ่นแนว Floral หอมหวานซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงจากดอกไม้ทั้งหมด 3 ชนิดรวมกัน นั่นก็คือดอกกระดังงา ดอกกุหลาบ และดอกมะลิอาหรับ โดยการฉีดครั้งแรกกลิ่นที่เด่นนำมาเลยจะเป็นดอกกะดังงาค่ะ ซึ่งแฝงกับกลิ่นมะลิที่ตีคู่กันมาอย่างลงตัว และเมื่อฉีดผ่านไปสักพักหนึ่ง กลิ่นดอกไม้ทั้ง 2 ชนิดก็จะค่อยๆ จางลงจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบ แต่สรุปแล้วน้ำหอมขวดนี้ค่อนข้างกลิ่นแรงทีเดียวค่ะ ใครที่ชอบน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ มากกว่าอาจจะรู้สึกเวียนหัวก็ได้
La Petite Robe Noire Guerlain perfume
ลา เปอติต ฮ็อบ นัวร์ (La Petite Robe Noire) คือน้ำหอมจาก Guerlain ที่เพิ่งเปิดตัวเพียงไม่กี่ปีมานี้เองค่ะ โดยชื่อของมันมาจากาษาฝรั่งเศสที่มีความหมายว่า “เดรสสีดำตัวสั้น” ในสไตล์หรูหรางามงามแบบสาวปารีเซียงนั่นเอง โดยกลิ่น Top Notes เมื่อแรกฉีดจะเป็นกลิ่นของความหอมสดชื่นของส้ม มะนาว ที่ผสานรวมกับกลิ่นกุหลาบ มะลิ และดอกส้มที่ให้ความเย้ายวนใจในแบบหญิงสาว ส่วนกลิ่น Middle Notes จะออกแนวหวานๆ แบบน้ำผลไม้ซึ่งเป็นกลิ่นของเชอร์รี แอปเปิล และแบล็กเคอร์แรนท์
Coco Mademoiselle Chanel perfume
COCO MADEMOISELLE คือน้ำหอมกลิ่นยอดนิยมอันดับต้นๆ ของแบรนด์ CHANEL ค่ะ ซึ่งกวาดรางวัลจากหลายๆ เวทีมาแล้วมากมาย ทั้ง FiFi Award, Advertising Campaign TV และ Bath & Body Line of the year เป็นต้น ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงความหอมที่เต็มไปด้วยคุณภาพของ COCO MADEMOISELLE เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมแบบหรูหรา คลาสสิกที่เกิดจากการผสมระหว่างผลไม้อย่างมะกรูด ส้ม และพิมเสน รวมถึงกลิ่นแนว Floral ในช่วง Middle Notes ที่ได้จากการรวมตัวของดอกไม้หลายๆ ชนิด เช่นกุหลาบ มะลิ และดอกส้มเข้าด้วยกัน และปิดท้ายด้วยกลิ่น Base Notes ของวานิลากับถั่วตองก้าบีนนั่นเอง
CHANEL N°5
No. 5 คือน้ำหอมที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Chanel ก็ว่าได้ สำหรับการนำ Aldehyde เข้ามาเป็นส่วนผสมในการปรุงน้ำหอมเป็นกลิ่นแรกของโลก ทำให้ CHANEL N°5 กลายเป็นน้ำหอมแนว Floral – Aldehyde ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ Aldehyde ซึ่งผสมเข้ากับดอกไม้อื่นๆ ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นกระดังงา มะกรูด มะนาว ดอกส้ม มะลิ ลิลลี่ กุหลาบ ดอกโอรีส หญ้าแฝก ไม้จันทน์ วานิลลา และอำพัน จนกลายเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น จนใครก็เลียนแบบไม่ได้
Bleu De Chanel
นี่คือน้ำหอมสำหรับผู้ชายที่เกิดจากการผสมกลิ่นของไม้สนซีดาห์ รวมกับกลิ่นของหญ้าแฝก กำยาน และมอสส์ จนกลายมาเป็นน้ำหอมที่มีความโดดเด่นแบบลงตัว โดยกลิ่น Top Notes จะเป็นกลิ่นของผลไม้ตระกูลซิตรัสที่ให้ความรู้สึกสดใสเหมือนท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลแคริบเบียน อย่างส้มและมะนาว รวมไปถึงกลิ่นหอมที่พัดโชยมาอ่อนๆ ขององุ่น เปปเปอร์มินต์ พริกไทยสีชมพู ขิง และจันทน์เทศ ทำให้น้ำหอมตัวนี้เป็นน้ำหอมที่ผสมผสานทั้งจิตวิญญาณ ความตรงไปตรงมา และความห้าวหาญที่สอดประสานกันอย่างกลมกลืนและติดทนนาน