วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Benjawan

                                                                Benjawan Namkhun





ไฮไลท์สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮ็อตในปารีส

หอไอเฟล (Eiffel Tower หรือ La tour Eiffel)

หอไอเฟล (Eiffel Tower หรือ La tour Eiffel) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
สร้างด้วยเหล็กขึ้นเพื่อเป็นที่เปิดงาน World's Fair ของปี 1889 และตั้งชื่อตามผู้ออกแบบคือ Alexandre Gustave Eiffel ด้วยศิลปะของการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และชาญฉลาด การเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในฝรั่งเศส และการเป็นอนุสาวรีย์ (แบบเสียค่าเข้าชม) ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก ที่นี่จึงได้เป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเทศฝรั่งเศส สำหรับผู้รักการถ่ายรูปทั้งหลาย คุณจะได้ฟินถ่ายรูปหนำใจแน่จากมุมทั้งด้านหน้าที่มีสวนและด้านหลังที่เป็นฝั่งแม่น้ำแซน (Seine River) เมื่อมาทั้งที ก็ขอให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์อันน่าตื่นตาตื่นใจจากชั้นต่างๆ บนของหอนี้ด้วย โดยซื้อบัตรได้ที่บู้ธบริเวณฐานของหอไอเฟล (คิวยาวมากๆ) หรือเว็บออนไลน์

มหาวิหารนอเทรอดาม (Notre Dame Cathedral หรือ Notre Dame de Paris)

มหาวิหารนอเทรอดาม (Notre Dame Cathedral หรือ Notre Dame de Paris) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
เป็นศาสนสถานนิกายคอทอลิกที่สำคัญของฝรั่งเศส เพราะเคยเป็นศูนย์กลางของเมืองในยุคกลาง (Medieval) จนถึงปัจจุบัน เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สถาปัตยกรรมของมหาวิหารนี้ใช้ศิลปะที่ละเอียดอ่อนสไตล์กอธิก (Gothic) ใช้โครงสร้างที่เป็นไม้ และใช้วัสดุอื่นๆ อีก เช่น หิน ตะกั่ว และกระจกสี ภายในวิหารมีรูปปั้นและภาพจิตรกรรมที่สวยงามเกี่ยวกับพระแม่มารี และต้องขึ้นบันไดมากถึง 387 ขั้นเพื่อไปถึงยอดของโบสถ์ เรียกได้ว่า มหาวิหารนอเทรอดามแห่งนี้มีทั้งความงดงามและใหญ่โตหรูหรามากทีเดียว

แม่น้ำแซน (Seine River หรือ La Seine à Paris)

แม่น้ำแซน (Seine River หรือ La Seine à Paris) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
พลาดละถ้าคุณไม่ได้มาชมพระอาทิตย์ตกที่แม่น้ำแซน ซึ่งไหลผ่านสถานที่สำคัญและย่านสวยงามของกรุงปารีส ทั้งหอไอเฟิล มหาวิหารนอเทรอดาม แกรนด์พาเลส (Grand Palais) พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ โบสถ์แซงต์ชาแปลล์ เป็นต้น เราขอแนะให้ล่องเรือยามใกล้ค่ำเพื่อที่จะได้ฟินกับการชมทิวทัศน์ของเมืองและสถาปัตยกรรมสวยงามยามต้องแสงอาทิตย์สีส้มและยามต้องแสงไฟในช่วงราตรี

ถนนฌ็องเซลิเซ่และประตูชัยนโปเลียน (Champs-Élysées & Arc de Triomphe)

ถนนฌ็องเซลิเซ่และประตูชัยนโปเลียน (Champs-Élysées & Arc de Triomphe) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ถนนฌ็องเซลิเซ่ได้รับขนานนามว่า ถนนที่สวยงามที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งเริ่มต้นจาก Place de la Concorde เป็นที่ตั้งของพลาซ่าที่มีอนุสาวรีย์ยอดพีระมิดสไตล์อียิปต์ ผ่านกรองด์ปาเลส์ (Grand Palais) เปอตีปาเลส์ (Petit Palais) โรงละครรงปวง (Rond-Point) โรงละครมาริก์นี่ (Marigny) และย่านช้อปปิ้งสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม ถนนสายนี้ไปจรดที่ประตูชัยนโปเลียนหรือประตูชัยปารีส ฝรั่งเศส อนุสรณ์สถานสำหรับนโปเลียนและผู้ที่ต่อสู้และนำชัยชนะของสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสและสงครามนโปเลียน เราสามารถขึ้นไปชมชั้นบนของประตูชัยได้ จากจุดสูงของประตูชัยนี้ คุณจะได้ชมและเก็บภาพถนนฌ็องเซลิเซ่และถนนสายอื่นๆ รวม 12 สายที่ทอดยาวมุ่งสู่ประตูชัยนี้

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre Museum หรือ Musé e du Louvre)

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre Museum หรือ Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
เดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวงก่อนที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะย้ายไปประทับที่พระราชวังแวร์ซายส์ ปัจจุบันลูฟร์ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกจำนวนมาก รวมไปถึงภาพโมนาลิซ่า ศิลปะภาพวาดชิ้นเอกของโลกด้วย ไม่เพียงแต่ศิลปะภาพวาดและโบราณวัตถุฝรั่งเศสเท่านั้น แต่เราจะได้ยลภาพวาด รูปปั้น และวัตถุโบราณจากอียิปต์ กรีก โรมัน เอทรุสแกน (Etruscan กลุ่มชนอารยธรรมที่อยู่บริเวณตอนกลางของอิตาลี่) ตะวันออกกลาง และศิลปะของอิสลามอีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวในปารีสที่ต้องไปเยือน เพราะมีทั้งสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามและเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

โรงละครปาเลส์การ์นิเย่ (Palais Garnier)

โรงละครปาเลส์การ์นิเย่ (Palais Garnier) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
เป็นโรงละครโอเปร่าแห่งชาติ ซึ่งสามารถจุคนได้ถึง 1,979 ที่นั่ง ชื่อนี้ใช้เรียกขานตามผู้สร้างชาร์ส การ์นิเย่ (Charles Garnier) ซึ่งได้ออกแบบได้อย่างวิจิตรตระกานตาและหรูหราอย่างยิ่ง และถูกจัดเป็นศิลปะชิ้นเอกด้านสถาปัตยกรรมโรงละครของศตวรรษที่ 19 ต่อมาได้เพิ่มให้มีห้องสมุดและสถานที่แสดงนิทรรศการโดยเฉพาะด้านศิลปะการแสดง และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสถานที่สำคัญอื่นๆ ของโลก เช่น ห้องสมุดคองเกรสที่กรุงวอชิงตัน โรงละครฮานอยที่เวียดนาม โรงละครริโอเดอจาเนโรและโรงละคอะเมซอนที่บราซิล

โบสถ์แซงต์ชาแปลล์ (Sainte Chapelle)

โบสถ์แซงต์ชาแปลล์ (Sainte Chapelle) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
เป็นโบสถ์ที่ใช้สำหรับสวดมนต์ของราชวงศ์โดยเฉพาะ ซึ่งใช้ศิลปะสไตล์กอธิคในช่วงยุคกลางและประดับด้วยกระจกสีสไตล์ศตวรรษที่ 13 ที่สวยงามมากมายจนเรียกได้ว่า เป็นสถานที่ที่มีคอลเล็คชั่นกระจกสีของศตวรรษนี้มากที่สุดเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นโบสถ์ขนาดเล็ก แนะนำว่า ไปช่วงเช้าจะดีที่สุดเพราะยังมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะและจะได้เที่ยวสบายๆ

ซาเคร-เกอร์ บาซิลิก้า (Sacré-Cœur Basilica หรือ Basilique du Sacré-Cœur)

ซาเคร-เกอร์ บาซิลิก้า (Sacré-Cœur Basilica หรือ Basilique du Sacré-Cœur) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ชื่อเต็มคือ The Basilica of the Sacred Heart of Paris หรือบาซิลิก้า หัวใจอันศักดิ์สิทธิ์ของปารีส ตั้งอยู่บนยอดของเนินเขามงต์มาร์ทร์ (Montmartre) อยู่ทางทิศเหนือของปารีส เป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศแด่ชาวฝรั่งเศสซึ่งเสียชีวิตจากสงครามกับเยอรมนี โดยใช้ศิลปะสไตล์โรมัน-ไบเซนไทน์และประกอบด้วยสวน น้ำพุ หอระฆัง และตัวอาคารที่มียอดเป็นลักษณะโดมและตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสก ที่โดมกลางซึ่งสูงที่สุดของอาคารนั้นเปิดให้เราขึ้นไปชมวิวปารีสแบบพาโนราม่าได้

พระราชวังลักเซมบูร์ก (Luxembourg Palace หรือ Palais du Luxembourg)

พระราชวังลักเซมบูร์ก (Luxembourg Palace หรือ Palais du Luxembourg)
เดิมถูกสร้างเพื่อเป็นที่ประทับของพระนางมารี เมดิซี (Marie de Médicis) มารดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 หลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส วังแห่งนี้ก็ได้รับการดัดแปลงให้เป็นอาคารรัฐสภา ส่วนทิศเหนือของตัววังก็ปรับให้เป็นที่พักของประธานสภาสูง อาคารทางทิศตะวันตกก็ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ทางทิศใต้ของวังเป็นสวนขนาดใหญ่อลังการ (10 ไร่) ประกอบด้วยสระน้ำ รูปปั้นของราชินีฝรั่งเศสและนักบุญต่างๆ ต้นไม้ ไม้ดอกและไม้ประดับที่จัดไว้อย่างสวยงามลงตัว มุมตะวันตกเฉียงใต้ของสวนนี้มีเวทีละครหุ่นท่ามกลางสวนแอ๊ปเปิ้ลและลูกแพร ใกล้ๆ กันนี้ มีศาลาพักผ่อน ซึ่งจะมีการแสดงดนตรีฟรี ร้านกาแฟ และร้านอาหารให้พักผ่อนหย่อนใจ ใครที่ชอบชมความงามทางศิลปะและจิบกาแฟผ่อนคลายในสวนสวย ที่นี่ใช่แน่

พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Orsay Museum หรือ Musée d'Orsay)

พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Orsay Museum หรือ Musée d'Orsay) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
อีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่จัดอยู่ในรายการต้องไปเยือน เพราะที่นี่รวบรวมศิลปะหลายแขนงของฝรั่งเศส ได้แก่ จิตรกรรม ปฏิมากรรม เฟอร์นิเจอร์ และภาพถ่าย ในปีค.ศ. 1848-1915 โดยมีคอลเล็คชั่นศิลปะชิ้นเอกของสมัยอิมเพรสชั่นนิสซึ่ม (Impressionism) และหลังสมัยอิมเพรสชั่นนิสซึ่ม (Post-impressionism) มากที่สุดในโลก ซึ่งรวมทั้งภาพวาดของศิลปินชื่อดังอย่าง Monet, Manet, Renoir และ Van Gogh นอกจากจะได้ชมศิลปะสวยๆ แล้ว บอกได้เลยว่า คุณจะได้เต็มอิ่มกับสถาปัตยกรรมอันสวยงามของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งเดิมทีสร้างเพื่อเป็นสถานีรถไฟ











           วันชาติฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันแห่งการปฎิวัติการปกครองจากระบบเจ้าขุนมูลนายไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองแบบยุกโบราณจนกระทั้งได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกจากบุกเข้าทลายคุกบาสติลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ประชาชน เมื่อ 209 ปีก่อนและนำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สำเร็จ โดยสมัชชาแห่งชาติได้กำหนดโครงสร้างกฏหมายฉบับใหม่ที่ยกเลิกการให้ความมีเอกสิทธิ์ ขจัดเรื่องสินบนและล้มเลิกระบบฟิวดัล(ระบบศักดินา) จากนั้นต่อมาจึงมีการจัดงานฉลองแห่งชาติขึ้นเรียกว่า “The Feast of the Federation” เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์จลาจลที่กองกำลังแห่งชาติจากทั่วประเทศได้เดินทางรวมพลกันที่ “Champs-de-Mars” ในกรุงปารีส

             แต่พอหลังจากนั้นการจัดงานฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ของวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2332 ก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังคงไม่สงบเกิดสงครามปฏิวัติขึ้นหลายครั้งในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2335-2345 และมาในสมัย “the Third Republic*”นี้เอง รัฐบาลจึงได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่ โดยมีการผ่านร่างกฎหมายฉบับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2423 ขึ้นมา ซึ่งกำหนดให้วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น “วันชาติฝรั่งเศส”และได้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกขึ้นในปีเดียวกันนั้น

           ทั้งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่ค่ำของวันที่ 13 โดยจะมีการแห่คบเพลิงและล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระฆังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ หรือเสียงปืนดังขึ้นนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่างานฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ เริ่มจากริ้วขบวนการสวนสนามของเหล่าทัพ จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลากลางวันประชาชนจะร่วมฉลองด้วยการเต้นรำอย่างรื่นเริงสนุกสนานไปตามท้องถนนและมีการจัดเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกจนถึงเวลาค่ำ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการจุดพลและการละเล่นดอกไม้ไฟที่ถือประเพณีปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสร้างความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่จัดขึ้นทั่วประเทศทั้งการจัดการแข่งขันกีฬา การจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า โดยไม่มีชาวฝรั่งเศสคนใดจะละเลยไม่นึกถึงและร่วมฉลองในวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งนี้











La Marseillaise

Allons enfants de la Patrie
Le jour de gloire est arrivé
Contre nous de la tyrannie
L'étendard sanglant est levé {2x}
Entendez vous dans les campagnes
Mugir ces féroces soldats
Ils viennent jusque dans vos bras,
Egorger vos fils, vos compagnes

{Refrain:}
Aux armes citoyens ! Formez vos bataillons !
Marchons, marchons,
Qu'un sang impur abreuve nos sillons

Que veut cette horde d'esclaves
De traîtres, de Rois conjurés ?
Pour qui ces ignobles entraves,
Ces fers dès longtemps préparés ? {2x}
Français ! pour nous, ah ! quel outrage !
Quels transports il doit exciter !
C'est nous qu'on ose méditer
De rendre à l'antique esclavage !

{au Refrain}

Quoi ! des cohortes étrangères
Feraient la loi dans nos foyers ?
Quoi ! ces phalanges mercenaires
Terrasseraient nos fiers guerriers {2x}
Grand Dieu ! par des mains enchaînées
Nos fronts sous le joug se ploieraient,
De vils despotes deviendraient
Les maîtres de nos destinées ?

{au Refrain}

Tremblez, tyrans ! et vous, perfides,
L'opprobe de tous les partis,
Tremblez ! vos projets parricides
Vont enfin recevoir leur prix {2x}.
Tout est soldat pour vous combattre,
S'ils tombent, nos jeunes héros,
La terre en produit de nouveaux
Contre vous tous prêts à se battre

{au Refrain}

Français ! en guerriers magnanimes
Portez ou retenez vos coups.
Epargnez ces tristes victimes
A regret s'armant contre nous {2x}.
Mais le despote sanguinaire,
Mais les complices de Bouillé,
Tous ces tigres qui sans pitié
Déchirent le sein de leur mère

{au Refrain}

Amour sacré de la Patrie
Conduis, soutiens nos bras vengeurs !
Liberté, Liberté chérie !
Combats avec tes défenseurs {2x}.
Sous nos drapeaux, que la victoire
Accoure à tes mâles accents,
Que tes ennemis expirant
Voient ton triomphe et notre gloire !

{au Refrain}

Nous entrerons dans la carrière,
Quand nos aînés n'y seront plus
Nous y trouverons leur poussière
Et les traces de leurs vertus. {2x}
Bien moins jaloux de leur survivre
Que de partager leur cercueil,
Nous aurons le sublime orgueil
De les venger ou de les suivre !

{au Refrain}



                                        https://www.youtube.com/watch?v=mg0g3Mo7o30























                         พระเจ้าหลุยที่ 14 หลุยส์-ดิเยอดอนเน(Louis-Dieudonné)

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีพระนามเดิมว่า หลุยส์-ดิเยอดอนเน (Louis-Dieudonné) สมัยประทับอยู่ที่พระราชวังแซงต์-แชร์แมง-ออง-เลย์ (วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1638) ต่อมามีพระนามว่า เลอรัว-โซแลย (le Roi-Soleil) ซึ่งแปลว่า สุริยกษัตริย์ เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1715 เมื่อพระองค์ประทับที่แวร์ซายส์ (Versailles) และพระนามต่อมาคือ หลุยส์ เลอ กรองด์ (Louis le Grand) แปลว่าหลุยส์ผู้ยิ่งใหญ่ เริ่มใช้วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1643 จนกระทั่งพระองค์สวรรคต พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส แลพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งนาวาร์ พระองค์มีเชื้อสายทั้งราชวงศ์บูร์บงและราชวงศ์กาเปเตียง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ครองราชย์เป็นเวลา 72 ปี จัดว่าเป็นผู้ที่ครองประเทศฝรั่งเศสนานที่สุด อีกทั้งยังเป็นพระมหากษัตริย์ในที่ครองราชย์นานที่สุดในยุโรปอีกด้วย
พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ไม่กี่เดือนก่อนวันครบรอบวันพระราชสมภพ ซึ่งจะมีพระชันษา 5 ปี แต่สมัยนั้น (ค.ศ. 1648 - ค.ศ. 1652) มีกบฏฟรองด์ (Fronde) ทำให้หน้าที่ของพระองค์มีอย่างเดียวคือ ควบคุมรัฐบาล เนื่องจากนายกรัฐมนตรี เลอ คาร์ดินาล มาซาแร็ง (le Cardinal Mazarin) หรือสังฆราชมาซาแร็ง เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1661 ออย่างไรก็ตามพระองค์ไม่แต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและประกาศว่า จะบริหารประเทศด้วยพระองค์เอง หลังจากคณะรัฐมนตรีของกอลแบรต์ (Colbert) ครบวาระ (หรือหมดอำนาจในการบริหารประเทศ) ในปี ค.ศ. 1683 และของลูวัร์ (คณะรัฐมนตรีของลูวัร์นี้ขึ้นตำแหน่งต่อจากลูแบร์) ครบวาระในปี ค.ศ. 1691
สมัยของพระองค์โดดเด่นในเรื่องโครงสร้างของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช (สิทธิกษัตริย์ = เทพที่มาจากสวรรค์) ประโยชน์ของพระราชอำนาจอันเด็ดขาดของพระองค์ทำให้ความวุ่นวายต่างๆหมดสิ้นไปจากฝรั่งเศส อาทิเช่นเรื่องขุนนางก่อกบฏ (สมัยพระเจ้าหลุยส์ 14 ไม่มีขุนนางผู้ไหนกล้าก่อกบฏ เพราะพระองค์มีพระราชอำจนาจเด็ดขาด) เรื่องการประท้วงของสภา เรื่องการจลาจลของพวกนิกายโปรแตสแตนท์และชาวนา ซึ่งเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสมานานเป็นเวลามากกว่า 1 ทศวรรษแล้ว
ขณะที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสเสด็จสวรรคต ขณะนั้นพระเจ้าหลุยส์ 14 มีพระชนมายุเพียง 5 ชันษา เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์มาก พระราชมารดาของพระองค์จึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ส่วนสังคราชมาซาแร็งเป็นผู้อุปถัมภ์พระเจ้าหลุยส์ ดิเยอดองเน ท่านรับผิดชอบด้านการศีกษาเพื่อที่จะให้พระเจ้าหลุยส์ขึ้นเป็นกษัตริย์ในอนาคต ซึ่งการศึกษานี้จะเน้นหนักไปด้านปฏิบัติ มากกว่าด้านความรู้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่า สังฆราชมาซาแร็งใช้อำนาจโดยผ่านลูกอุปถัมภ์ของท่านเอง ซึ่งก็คือหลุยส์ดิเยอดองเน สังฆราชมาซาแร็งถ่ายทอดความชื่นชอบในด้านศิลปะให้หลุยส์ดิเยอดองเนและสอนความรู้พื้นฐานด้านการทหาร, การเมืองและการทูต อีกทั้ง สังฆราชผู้นี้ยังนำหลุยส์ดิเยอดองเนเข้าร่วมในสภาเมื่อปี ค.ศ. 1650
พระองค์ได้ทรงลดทอนอำนาจของชนชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการรบ ด้วยมีรับสั่งให้พวกเขาเหล่านั้นรับใช้พระองค์เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกในราชสำนัก อันเป็นการถ่ายโอนอำนาจมายังระบบธุรการแบบรวมศูนย์ และทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นชนชั้นสูงที่ใช้สติปัญญา พระองค์ทรงดำริให้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์ ขึ้นในอุทยาน โดยมีการจัดสวนให้เป็นรูปทรงเรขาคณิต พระราชวังแวร์ซายที่มีขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่ห่างออกไปราว 15 กิโลเมตรทางตะวันตกของกรุงปารีส ที่เมืองแวร์ซาย ในเขตปริมณฑลของกรุงปารีส


                                        พระราชวังแวร์ซาย(Château de Versailles)



                                 





















ตัวเลข 1-100 ภาษาฝรั่งเศส 
0
zéro[zay-ro]
1un[uh]
2deux[duhr]
3trois[twa]
4quatre[katr]
5cinq[sank]
6six[sees]
7sept[set]
8huit[weet]
9neuf[nurf]
10dix[dees]
11onze[onz]
12douze[dooz]
13treize[trez]
14quatorze[katorz]
15quinze[kanz]
16seize[sez]
17dix-sept[dee-set]
18dix-huit[dees-weet]
19dix-neuf[dees-nurf]
20vingt[van]
21vingt et un[vant-ay-uh]
22vingt-deux[van-duhr]
23vingt-trois[van-twa]
24vingt-quatre[van-katr]
25vingt-cinq[van-sank]
26vingt-six[van-sees]
27vingt-sept[van-set]
28vingt-huit[van-weet]
29vingt-neuf[van-nurf]
30trente[tront]
31Trente et un[tront ay-uh]
32Trente-deux[tront-durh)
33Trente-trois[tront-twa)
34Trente-quatre[tront-katr)
35Trente-cinq[tront-sank)
36Trente-six[tront-sees)
37Trente-sept[tront-set)
38Trente-huit[tront-weet)
39Trente-neuf[tront-nurf)
40quarante[karont]
41quarante et un[karont-ay-uh]
42quarante-deux[karont-deux]
43quarante-trois[karont-twa]
44quarante-quatre[karont-katr]
45quarante-cinq[karont-sank]
46quarante-six[karont-sees]
47quarante-sept[karont-set]
48quarante-huit[karont-weet]
49quarante-neuf[karont-nurf]
50cinquante[sank-ont]
51cinquante et un[sank-ont-ay-uh]
52cinquante-deux[sank-ont-deux]
53cinquante-trois[sank-ont-twa]
54cinquante-quatre[sank-ont-katr]
55cinquante-cinq[sank-ont-sank]
56cinquante-six[sank-ont-sees]
57cinquante-sept[sank-ont-set]
58cinquante-huit[sank-ont-weet]
59cinquante-neuf[sank-ont-nurf]
60soixante[swa-sont]
61soixante et un[swa-sont-ay-un]
62soixante-deux[swa-sont-dur]
63soixante-trois[swa-sont-twa]
64soixante-quatre[swa-sont-katr]
65soixante-cinq[swa-sont-sank]
66soixante-six[swa-sont-sees]
67soixante-sept[swa-sont-set]
68soixante-huit[swa-sont-weet]
69soixante-neuf[swa-sont-nurf]
70soixante-dix[swa-sont-dees]
71soixante-et-onze[swa-sont-ay-onz]
72soixante-douze[swa-sont-dooz]
73soixante-treize[swa-sont-trez]
74soixante-quatorze[swa-sont-katorz]
75soixante-quinze[swa-sont-kanz]
76soixante-seize[swa-sont-sez]
77soixante-dix-sept[swa-sont-dee-set]
78soixante-dix-huit[swa-sont-dees-weet]
79soixante-dix-neuf[swa-sont-dees-nurf]
80quatre-vingts[kat-ra-van]
81quatre-vingt-un[kat-ra-vant-uh]
82quatre-vingt-deux[kat-ra-van-dur]
83quatre-vingt-trois[kat-ra-van-twa]
84quatre-vingt-quatre[kat-ra-van-katr]
85quatre-vingt-cinq[kat-ra-van-sank]
86quatre-vingt-six[kat-ra-van-sees]
87quatre-vingt-sept[kat-ra-van-set]
88quatre-vingt-huit[kat-ra-van-weet]
89quatre-vingt-neuf[kat-ra-van-nurf]
90quatre-vingt-dix[kat-ra-van-dees]
91quatre-vingt-onze[kat-ra-van-onz]
92quatre-vingt-douze[kat-ra-van-dooz]
93quatre-vingt-treize[kat-ra-van- trez]
94quatre-vingt-quatorze[kat-ra-van-katorz]
95quatre-vingt-quinze[kat-ra-van- kanz]
96quatre-vingt-seize[kat-ra-van- sez]
97quatre-vingt-dix-sept[kat-ra-van- dee-set]
98quatre-vingt-dix-huit[kat-ra-van- dees-weet]
99quatre-vingt-dix-neuf[kat-ra-van- dees-nurf]
100cent[son]

(https://www.youtube.com/watch?v=IgFJ6JV7lKY)









ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทศกาลเบียร์ มิวนิค


กำเนิดเบียร์?เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ชนิดแรกของโลก ? ยุคก่อนคริสตกาล

จุดกำเนิดเบียร์?ที่มาของเบียร์?เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ชนิดแรกของโลก?เกิดขึ้นมานานกว่า 6,000ปีแล้ว โดย ชาวบาบิโลเนีย เป็นผู้คิดค้น ตั้งแต่ยุคก่อนคริสตกาล และต่อมาอีก 2,000ปี ก็ได้ค้นพบพืชชนิดหนึ่งชื่อว่า ?Hops? ที่ถูกผสมลงไปใน เบียร์ ทำให้มีรสชาดขม กลิ่นหอมชวนดื่ม และยังสามารถเก็บ เบียร์ ไว้ได้นานขึ้นอีก

ตำนานเบียร์?ที่มาเบียร์ สังเวยเทพเจ้า??

ใน ตำนานเบียร์?เชื่อกันว่า เบียร์ มีมาเกือบ 6,000-7,000ปีแล้วโดย ชาวบาบีโลน เป็นชาติแรกที่คิด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ขึ้นมาที่ต่อมาถูก เรียกว่า เบียร์ ไว้สำหรับสังเวยเทพเจ้าของเขา ชาวบาบีโลน นิยมดื่ม เบียร์ กันทั้งบ้านทั้งเมืองโดยมี ร้านขายเบียร์ ผุดขึ้นมาทั่ว ราชอาณาจักรราวกับดอกเห็ดซึ่ง แหล่งขายเบียร์ ในยุคนั้นเรียกว่า Bit Sikari?ผู้บันทึกไว้ว่า “ชาวอียิปต์รู้จักทำเบียร์ทีหลังชาวบาบีโลนแต่ อียิปต์ก็เป็นชาติที่เก่าแก่ที่คิดค้นเบียร์ได้เอง” (แล้วจะจะรู้จักทำ เบียร์ ทีหลัง บาบิโลน ได้ยังไงงง?)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติของเทศกาลเบียร์ มิวนิค


ประวัติเบียร์โบราณ เทศกาลเบียร์?แต่ละยุค ?

ประวัติเบียร์?ประวัติศาสตร์ของเบียร์ยุคใหม่ เริ่มที่ ประเทศเยอรมันเจ้าตำรับแห่งเบียร์?โดย ชาวเยอรมันโบราณได้เป็นผู้คิดค้นทำเบียร์ ขึ้นในแคว้นบาวาเรีย โดยไม่ได้ลอกเลียนแบบการทำ เบียร์ จากชาติใด ๆ เครื่องดื่มที่มีฟองชนิดนี้ ชาวเยอรมัน ทำจาก ข้าวมอล์ท ยุคนั้นเรียกว่า Peorหรือ Biorจนเพี้ยนมาเป็นคำว่า Beer ส่วนใหญ่ของผู้ทำเบียร์ในยุคนั้นได้แก่ พระ ที่ต้องการชักจูงให้ผู้คนนับถือศาสนาคริสต์ โดยเอา เบียร์ เป็นเครื่องล่อ เบียร์ คือสุราชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในประเภทสุราแช่ (คือสุราที่ยังไม่ได้กลั่น) เบียร์แต่ละยุคโบราณ มีวัตถุดิบและกรรมวิธีหลายอย่างได้แก่พวกธัญพืชนานาพันธุ์ และผลไม้ต่าง ๆ
      ตำนานเบียร์?ในช่วง 5,000ปีที่?กำเนิดเบียร์?เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้เผยแพร่ไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นจีน , อินเดีย , เปอร์เซีย , กรีก-โรมัน หรือแม้แต่พวกอินเดียนแดงในอเมริกา ก่อนที่โคลัมบัสจะค้นพบทวีปอเมริกา ก็มีการทำ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มกินกัน
      ที่มาเบียร์?ในช่วง 2000 ปี ก่อน ค.ศ.ในประเทศอียิปต์ ได้มีการ กำเนิดเบียร์?จากข้าวโดยนำข้าวเกรน ( เมล็ดข้าว ) มาเพาะและอบแห้ง แล้วบดให้ละเอียดใส่ในถังผสมกับดอกฮ็อพ (Hops) แล้วเติมน้ำลงไปผสมหมักกับยีสต์ ที่เป็นเชื้อรา ส่าเหล้า ที่ได้จากแป้งที่ทำขนมปัง และอากาศที่ร้อนในอียิปต์ทำให้เกิดกระบวนที่เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล และเกิดแอลกอฮอล์มีการตกตะกอนจากนั้นจะกรองเอาแต่น้ำมาดื่มโดยใช้กรรมวิธีการหมัก เบียร์ คล้ายๆกับการทำไวน์
       ประวัติเบียร์?ของชาวอียิปต์ ในยุคนั้นถือได้ว่า การดื่มเบียร์ เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง และในยุคที่อียิปต์เจริญรุ่งเรืองนั้น เบียร์ ได้ถูกจัดเป็นเครื่องดื่มประจำชาติ ที่มีการดื่มกันเป็นประจำคู่กับอาหารประจำวัน แม้แต่เด็กเล็กยังต้องดื่มเบียร์แทนน้ำเป็นประจำเลย

ที่มาของเบียร์ เครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลก ?
เบียร์ เป็น เครื่อง ดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ที่เป็นที่นิยมดื่มกันมากทั่วโลก โดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีความเชื่อว่าการดื่ม เบียร์ นั้น มีความบริสุทธิ์สะอาดว่าการดื่มน้ำเปล่าธรรมดาเสียอีก ดังนั้นเราจะเห็นคนเยอรมันมักจะดื่มเบียร์กันแทนน้ำเลยก็ว่าได้ ปริมาณแอลกอฮอล์ในเบียร์ จะมีอยู่ต่ำมากประมาณ 3.5-6.0ดีกรี และส่วนใหญ่อายุของเบียร์จะสั้นเก็บได้ไม่นาน โดยเฉพาะ เบียร์สด ส่วนวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้ผลิต เบียร์ ก็คือ?ข้าวบาร์เลย์ เรียกวิธีการผลิตนี้ว่า? Brewing ?โดยจะนำข้าวบาร์เลย์มาเพาะ และอบแห้งทำเป็น มอลต์เกรน ที่เรียกว่า ? Barley Malt Grain ? แล้วนำมาผสมกับน้ำ จากนั้นจะปรุงแต่งรสชาดและกลิ่นด้วยดอกฮ็อพ (Hops)ที่ทำให้เกิดรสขม แล้วหมักรวมกับยีสต์ จะได้ของเหลวที่มีแอลกอฮอล์ แล้วมากรอง ก็จะได้ เบียร์
ในประเทศเยอรมันเอง การกำเนิดเบียร์ ทำเบียร์ โดยจะใช้ข้าวสาลี ? Wheat ? มาทำเป็นมอลต์แทน ได้แก่ การทำเบียร์ Weizembier (ไว้-เซ่น-เบียร์) หรือ Wheat Beer เบียร์ ในยุโรป มีความเชื่อว่าการดื่มกินเบียร์ จะมีความสะอาดบริสุทธิ์กว่าดื่มน้ำธรรมดาเสียอีก


ประวัติลานเบียร์ กำเนิดลานเบียร์ ที่มาลานเบียร์?เทศกาลลานเบียร์

      หลายประเทศในแทบยุโรปนั้นมี วัฒนธรรมการดื่มเบียร์ เป็นกิจวัฒน์ประจำวันโดยเฉพาะชาวเยอรมัน การดื่มเบียร์ของชาวเยอรมันที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ ๑๙ คือ ในวันที่มีอากาศดี ครอบครัวชาวเยอรมันจะมานั่ง ดื่มเบียร์ ในสวน แกล้มอาหารอร่อยๆ เคล้าเสียงเพลงเร้าใจ ซึ่งต่อมาวัฒนธรรมนี้เป็นที่รู้จักกันในลักษณะของ เทศกาลลานเบียร์?หรือ?เบียร์การ์เด้น ( Beer Garden ) ซึ่ง เทศกาลลานเบียร์??หรือ ?เบียร์การ์เด้น ที่จัดได้ใหญ่ที่สุด และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก?เทศกาลลานเบียร์?เบียร์การ์เด้นใน เทศกาลออคโทเบอร์เฟสต์ (Octoberfest) โดยจะจัดปลายเดือนกันยายนของทุกปี ที่ เมืองมิวนิค (Munich) ประเทศเยอรมนี จึงกลายเป็นจุดต้น กำเนิดลานเบียร์?ที่มาของลานเบียร์?เทศกาลลานเบียร์
สิ่งที่เห็นความต่างระหว่างคนไทยกับคนเยอรมันในการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา คือชาวเยอรมันสามารถรักษาความเป็นสุภาพชนไว้ได้ ในขณะที่คนไทยนั้นแตกต่างกับชาวเยอรมันในเรื่องของการรักษาภาพลักษณ์เมื่ออยู่กับเครื่องดื่มมึนเมา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบมีได้หลายประการ
-ประการแรก ความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวท์แดงเปรียบดั่งโลหิตของพระเจ้า ผู้ดื่มต้องดื่มด้วยใจศรัทธาในความเสียสละที่พระเจ้ามีให้กับมนุษย์
-ประการที่สอง ภาษีเครื่องดื่มแอลกอร์ฮอล์ของต่างชาติแพงมาก ราคาจึงสูง ซึ่งหมายถึงผู้ที่ดื่มมักเป็นผู้มีฐานะทางการเงินที่ดี ผู้ดื่มไม่เดือนร้อนทางการเงิน
-ประการที่สาม เบียร์ของต่างชาติ มีความเข้มข้นของแอลกอร์ฮอล์ต่ำกว่า เบียร์ไทย ทำให้ผู้ดื่มเมาน้อยกว่า ควบคุมตัวเองได้ดีกว่า
-ประการที่สี่ คนเยอรมันดื่มเบียร์อย่างมีวัฒนธรรมจัดเป็นที่ทาง เช่น ลานเบียร์ (Beer Garden) มีการจัดเมนูอาหารประจำชาติทานคู่กับการดื่มเบียร์ เช่นขาหมูทอดเยอรมัน ไส้กรอกเยอรมัน จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติไป